Translate

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รวยโค่นแชมป์โลก! โฉมหน้า “อามานซิโอ ออร์เตกา “เศรษฐีที่รวยสุดในโลกคนใหม่

เว็บไซต์บิสซิเนส อินไซเดอร์ รายงานอ้างอิงข้อมูลของ ฟอร์บส์ เรียลไทม์ระบุว่า นายอามานซิโอ ออร์เตกา เศรษฐีธุรกิจเสื้อผ้าซ่ารา (Zara) จากประเทศสเปน ได้โค่นบัลลังก์ เศรษฐี ที่รวยที่สุดในโลกของนายบิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟต์ ลงไป และขึ้นเป็นแชมป์โลกแทนแล้ว โดยมีทรัพย์สิน 7.98 หมื่นล้านเหรียญ (2.79ล้านล้านบาท)


แม้ว่าชื่อของ ออร์เตกา จะไม่คุ้นหูชาวบ้านเหมือนกับชื่อของ บิล เกตส์ แต่ความร่ำรวยของเขาก็เพิ่มขึ้นทุกปี พร้อมๆกับธุรกิจของเขาที่ขยายกิจการต่อเนื่อง

เขามีปูมหลังชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน เพราะเกิดในปี 1936 ในช่วงสงครามกลางเมืองของประเทศสเปน อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ พ่อของเขาไม่สามรถหาเงินมาซื้ออาหารได้มากพอที่จะเลี้ยงให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวอิ่มท้อง
เขาต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มเป็นหนุ่ม และทำงานในตำแหน่งพนักงานส่งของร้านค้า ด้วยชีวิตที่ดิ้นรนและต่อสู้อย่างหนักมาตลอด

จนเขาอายุ 40 ปีจึงได้ก่อตั้งธุรกิจเสื้อผ้า ภายใต้แบรนด์ ซาร่า ซึ่งเริ่มต้นจากการจำหน่ายในสเปน และขยายไปยังเพื่อนบ้านทั้งโปรตุเกส ฝรั่งเศส อังกฤษ จนไปทั่วทั้งโลก


แหล่งที่มา: BusinessInsider


วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

5 อาชีพเสริมที่ทำให้ วอเรน บุฟเฟต รวยตั้งแต่อายุ 17 ปี

Warren Buffett And BofA CEO Brian Moynihan Speak At Georgetown University

วอเรน บุฟเฟต เศรษฐีหุ้นอันดับหนึ่งของโลกในปัจจุบันมีนิสัยแห่งความร่ำรวยมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่ออายุครบ 17 ปี เขามีเงินเก็บสูงถึง 53,000 เหรียญ จนทำให้เขาต้องขัดแย้งกับพ่อของเขาอยู่พักหนึ่งเรื่องที่เขาจะไม่เรียนต่อเพราะอยากทำงานเก็บเงิน
จากบันทึกประวัติ วอเรน บุฟเฟต ในหนังสือ The Snowball: Warren Buffett and the Business of Life เขียนโดย Alice Schroeder บอกถึง 5 อาชีพเสริมที่ทำให้ วอเรน บุฟเฟต ร่ำรวยตั้งแต่อายุ 16 ปี

1. คนส่งหนังสือพิมพ์

ทันทีที่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขาสนใจที่จะหางานทำก่อนเด็กวัยรุ่นในวัยเดียวกัน งานแรกของ วอเรน คือ คนส่งหนังสือพิมพ์ เขาสมัครรับหนังสือพิมพ์ Washington Post มาตระเวนส่งขายตามหมู่บ้าน เขารับหนังสือพิมพ์ไปตระเวนส่งตามบ้านเพียงวันละไม่กี่ชั่วโมง และสามารถทำเงินได้ $175 ต่อเดือนจากการขายหนังสือพิมพ์ ซึ่งมากกว่าค่าจ้างของครูที่โรงเรียนเสียอีก
นอกจากขายหนังสือพิมพ์ เขายังรับปฏิทินมา Upsell เพิ่มยอดขายให้กับสินค้าหลักของเขา นับเป็นเด็กวัยรุ่นนักขายตัวยงตั้งแต่อายุยังน้อย

2. ขายลูกกอล์ฟมือสอง

ถ้าใครอยากได้ลูกกอล์ฟมือสองราคาถูก วอเรน คือพ่อค้าลูกกอล์ฟสุดถูกในราคาโหลละ 6 เหรียญในสมัยนั้น วอเรน ไม่ได้ไปตระเวนเก็บลูกกอล์ฟตามแอ่งน้ำ แต่เขาเหมาซื้อมาจากพ่อค้าในชิคาโก ลูกกอล์ฟมือสองคุณภาพดีเหมือนใหม่ในราคาโหลละ 3.50 เหรียญ

3. ขายแสตมป์

สมัยนั้นใครอยากได้แสตมป์เก๋ๆ ต้องติดต่อ วอเรน เพราะเขาเป็นนักซื้อขายแลกเปลี่ยนแสตมป์แนวหน้าในช่วงหนึ่ง เขาสรรหาแสตมป์สวยๆ ขายแก่นักสะสมแสตมป์

4. รับจ้างล้างรถ

วอเรน จับมือกับเพื่อน Lou Battistone หุ้นเปิดสถานีล้างรถเล็กๆ เพื่อรับจ้างล้างและขัดเงารถให้กับเจ้าของรถและทำเงินอย่างดีให้แก่พวกเขา ภายหลังทั้งสองยุบธุรกิจนี้ไปเพราะเป็นงานหนักและใช้แรงงานเยอะเกินไป

5. เปิดโต๊ะพินบอล

วอเรน เกิดไอเดียหุ้นกับเพื่อนเปิดโต๊ะพินบอลหยอดเหรียญเก็บเงินในร้านตัดผม เขาเจรจากับเจ้าของร้านตัดผมในการวางโต๊ะพินบอลในร้านเพื่อให้ลูกค้าเล่นระหว่างรอตัดผม และแบ่งรายได้กัน
วอเรน ลงทุนโต๊ะพินบอลในราคา 25 เหรียญ และทำเงิน 4 เหรียญในวันแรกที่เปิดโต๊ะ ไม่นาน วอเรน และหุ้นส่วนก็ขยายกิจการโต๊ะพินบอลไปทั่ววอชิงตัน

สรุป

ความร่ำรวยของ วอเรน บุฟเฟต ไม่ใช่เรื่องโชคชะตา แต่เกิดจากอุตสาหะและการทำงานหนักตั้งแต่เด็กๆ ความเป็นคนรู้จักหาเงิน ที่สำคัญความร่ำรวยมาจากการคิดนอกกรอบไม่ได้เดินตามเส้นทางของเด็กในรุ่นเดียวกันที่ต้องเรียนหนังสือแต่เพียงอย่างเดียว แต่ วอเรน บุฟเฟต เลือกที่จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเงินออม

แหล่งที่มา :  http://www.ceoblog.co/ceo-1502006/

แจ็ก มา บุรุษสุดห่วย แม้แต่ เคเอฟซี ยังไม่รับเข้าทำงาน…สุดท้ายเกิดอะไรขึ้น

Alibaba Group Holdings Ltd. and Founder Jack Ma As Company Files for U.S. Initial Public Offering of E-Commerce Giant
ชั่วโมงนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก แจ็ก มา (Jack Ma) หนึ่งในผู้ชายที่ร่ำรวยสุดๆ ของโลก และเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาคือเจ้าของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ www.alibaba.com เว็บไซต์ค้าส่งรายใหญ่ของโลก โดยปัจจุบัน (ต้นปี 2015) ตัวเขามีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 20,400,000,000 เหรียญ
แต่ใครจะรู้ว่าอดีตของ แจ็ก มา กว่าจะมาถึงจุดนี้ต้องสุดรันทดหดหู่ราวกับเป็นผู้ชายที่โลกชัง เขาสอบตกเอ็นทรานซ์สามครั้ง หลังเรียนจบเขาไล่สมัครและสัมภาษณ์งานถึง 30 บริษัท เขาถูกปฏิเสธทั้งหมด
เขาบอกว่าครั้งหนึ่งเคยสมัครเป็นพนักงานร้านเคเอฟซี สมัคร 24 คนรวมทั้งตัวเขา คนสมัครผ่าน 23 คนโดยมีเขาเพียงคนเดียวที่ตกงาน

และเมื่อเขาก่อตั้ง Alibaba ในปี 1998, เขาต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย

บริษัทไม่มีกำไรตลอดสามปีแรก และเขาต้องคิดกลยุทธ์การทำงานอย่างหนักเพื่อให้บริษัทเดินไปข้างหน้าได้ หนึ่งในอุปสรรคท้าทาย แจ็ก มา คือระบบการจ่ายเงิน หรือ Payment program ที่ธนาคารปฏิเสธจะร่วมงานกับเขา
แจ็ก มา จึงออกแบบระบบการชำระเงินของตัวเองชื่อ Alipay เพื่อทำหน้าที่ประสานการชำระเงินระหว่างผู้ซื้อผู้ขายโดยมีการ Convert สกุลเงินให้ User ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าแทบทุกคนที่ได้ยินล้วนทับถมเขาว่าระบบนี้เป็นความคิดที่โง่ที่สุด แต่เขายืนหยัดเดินหน้ากับ Alipay ภายใต้แนวคิดว่า “ฉันไม่แคร์คำทับถม ตราบใดที่ฉันสร้างประโยชน์กับ User ของฉันได้”
ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน… วันนี้มีผู้ใช้งาน Alipay ถึง 800 ล้านคนทั่วโลก

สรุป

เรื่องราวของ แจ็ก มา มีความคล้ายคลึงกับหลายๆ สุดยอดธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Zappos โดยโทนี่ เชย์ และ Amazon โดยเจฟ บีซอส
เมื่อมองจากภายนอก คนทั่วไปอาจอิจฉาและฝันอยากเป็นเหมือนพวกเขา แต่หากลงไปศึกษาเส้นทางการสร้างธุรกิจจะพบว่ามันไม่ง่ายเลย และพวกเข้าต้องเผชิญอุปสรรคหนักๆ มากมาย รวมไปถึงการสร้างธุรกิจไปโดยไม่มีกำไรหรือมีน้อยมากเป็นระยะหลายปีกว่าที่จะโตพอที่จะสร้างกำไรส่วนต่างให้เขาได้มากมายมหาศาล
เรียกว่าถ้าใจไม่สู้ ก็คงอยู่ไม่ถึงวันที่ธุรกิจแข็งแรง

แหล่งที่มา : http://www.ceoblog.co/ceo-1502006/

Jordan Belfort รวยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เผยเส้นทางก่อนเข้า Wall Street ของนักขายที่เปลี่ยนทุกสิ่งเป็นเงิน

Jordan Belfort รวยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เผยเส้นทางก่อนเข้า Wall Street ของนักขายที่เปลี่ยนทุกสิ่งเป็นเงิน

CEOblog-1510007 Jordan Belfort-3
Jordan Belfort เป็นนักธุรกิจและนักขายมือทองผู้ร่ำรวยและโด่งดังจากผลงานการเป็นนายหน้าค้าหุ้นใน Wall Street ทำเงินมหาศาลภายในเวลาอันรวดเร็วและรวยถึงขั้นใช้เงินไม่ทัน เกิดการพัวพันกับธุรกิจสีเทา เหล้ายา และผู้หญิงจนตกต่ำติดคุก เมื่อพ้นโทษออกมาก็ตั้งปณิธานจะนำประสบการณ์ชีวิตมาถ่ายทอดเป็นบทเรียนแก่ผู้อื่นให้ร่ำรวยและเป็นคนดี
เขาเขียนหนังสือตีแผ่ชีวิตจากรุ่งสู่ร่วงแล้วก็รุ่ง ผสมแง่คิดชีวิตและการเงินลงไปในหนังสือ The Wolf of Wall Streetขึ้นแท่นหนังสือ International Best Seller และ Paramount Pictures ก็นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เกิดเป็นกระแสวลีสุดฮิต “Sell me this pen” – ขายปากกานี้ให้ฉัน ถ้าคุณขายปากกาธรรมดาๆได้ คุณก็ขายได้แทบทุกอย่างบนโลกนี้
CEOblog-1510007 Jordan Belfort-4
จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เกิดขึ้นในช่วงที่เขาเข้า Wall Street ใส่สูท เท่ห์ๆ เก๋ๆ รวยๆ ดูเป็นคนมีพรสวรรค์การขายระดับเทพ แต่ชีวิตจริง Jordan Belfort มีตำนานมาก่อน ผ่านการลุยงานหนักและความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในสายขายอย่างไม่มีเงื่อนไขมาแต่เด็กๆ ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวคร่าวๆ ส่วนหนึ่งก่อนที่ก้าวเข้าสู่ Wall Street ครับ

อยากจะรวย ช่วยไม่ได้

Jordan Belfort เกิดและโตในย่าน Bayside ในนิวยอร์ก ครอบครัวทำงานบริษัทในตำแหน่งพนักงานบัญชี มีฐานะปานกลาง และภาพที่เห็นจนชินตาและเกิดคำถามในใจคือ พ่อแม่ที่ทำงานหนัก แม้จะมีกินมีใช้แต่ไม่รวยแบบเด็ดขาดและไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว สภาพครอบครัวที่เป็นทำให้เขาตั้งมั่นกับตัวเองว่า “ฉันจะรวยให้ได้

เทคนิคการขายแบบ Sales Funnel

เขามีความคิดที่จะหารายได้ด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ โดยในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกหนา เขาจะตระเวนไปเคาะประตูตามหมู่บ้านเพื่อขายหนังสือพิมพ์
ไฮไลท์อยู่ตรงขายหนังสือพิมพ์ราคาถูกแล้ว ‘Upsell’ ต่อด้วยการเสนอขายบริการกวาดหิมะหน้าบ้านที่มีราคาสูงกว่า ทำให้เขาสามารถทำรายได้สองต่อหรืออย่างน้อยก็ได้เงินจากอย่างใดอย่างหนึ่ง เทคนิคการขายแบบนี้เป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน ในกลุ่มธุรกิจออนไลน์นิยมเรียกว่าการทำ Sales Funnel ที่มีเครื่องมือในการนำเสนอสินค้า Upsell, Down-sell, Cross merchandise ในหน้า Check-out page ของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในต่างประเทศหลายตลบ

หลักคิดสร้างรายได้มหาศาลจากการแก้ปัญหาเล็กๆให้ผู้อื่น

ในช่วงฤดูร้อน ชายหาด Long Island ที่อยู่ใกล้กันจะมีผู้คนมากมายไปนอนอาบแดด และการอาบแดดเป็นกิจกรรมที่ฝรั่งฟินจนไม่อยากลุกไปไหน Jordan Belfort มองเห็นโอกาสจากปัญหาที่คนไม่ยอมลุกไปไหนแม้จะอดอยากปากแห้งสักเพียงใด จึงคิดที่จะเสนอขายสินค้าและบริการแบบพร้อมส่งถึงปาก!
เขาไปติดต่อขอซื้อไอศกรีมราคาส่งและกล่องเก็บความเย็นเพื่อบรรจุไอศครีม จากนั้นก็ตระเวนเสนอขายไอศครีมตามชายหาดซึ่งมันได้ผล คนมีปัญหาอาบแดดแล้วฟินจนไม่ยอมลุกไปไหน เมื่อมีคนมาเสิร์ฟของถึงที่จึงพากันซื้อถล่มทลาย
ณ ตอนนั้น เพื่อนในวัยเดียวกันทำงานรับจ้างค่าแรงชั่วโมงละ 3 เหรียญ ในขณะที่ Jordan Belfort ขายปลีกไอศกรีมได้เงินวันละ 400 เหรียญ! รายได้สะสมตลอดฤดูกาลขายไอศกรีมเท่ากับ 20,000 เหรียญ ทำให้เขามีเงินพอที่จะส่งตัวเองเข้าชั้นมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องพึ่งเงินพ่อแม่

หลงใหลการขาย

แม้จะมีประสบการณ์ที่ดีจากการขาย แต่ด้วยความที่ถูกปลูกฝังกึ่งคะยั้นคะยอจากครอบครัวว่าให้เรียนหมอ จบไปได้งานดี เงินเดือน ตำแหน่งมั่นคง เขาจึงลงเรียนหมอในสาขาทันตกรรม แต่เพียงวันแรกที่เข้าฟังคณบดีกล่าวต้อนรับนักศึกษาด้วยประโยค
The golden age of dentistry is over. If you’re here simply because you’re looking to make a lot of money, you’re in the wrong place
หรือ “ยุคทองของวงการทันตกรรมได้จบลงแล้ว หากคุณมาที่นี่เพื่ออยากรวย คุณมาผิดที่” — Jordan Belfort รีบลาออกจากคณะทันตกรรมทันที และสุดท้ายไปเลือกเรียนและสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีในสาขาชีววิทยา แต่ไปสมัครเข้าทำงานในตำแหน่ง Sales executive ให้บริษัทขายเนื้อสด เป็นการขายแบบตระเวนเคาะประตูตามบ้านอย่างที่เขาเคยทำตอนเด็กๆ นั่นเอง
ในช่วงแรกเป็นการติดรถไปกับพี่เลี้ยงเพื่อสังเกตวิธีคิดวิธีขายที่ไม่ประสบความสำเร็จ ใช่ครับ พี่เลี้ยงของเขาขายสินค้าแทบไม่ได้เลย เมื่อถึงตาเขาต้องออกไปขายเองบ้าง เขานำประสบการณ์ต่างๆ มาพัฒนาเป็นเทคนิคการขายจนสามารถขายเนื้อหมดคันรถภายในวันเดียวและจนเกือบจะขายรถแช่เย็นที่ขนเนื้อนั้นไปด้วยภายในเย็นวันเดียวกัน!

ขายดีจึงออกมาขายเองแม่มเลย

ด้วยความที่ขายดีจัดและเห็นเงินมหาศาลรออยู่ตรงหน้า Jordan Belfort จึงลาออกมาเปิดบริษัทขายเนื้อของตัวเองในไม่กี่เดือนต่อมา ธุรกิจของเขาเติบโตเร็วมาก เกิดทีมขายขนาดใหญ่และจำนวนรถขนส่งก็เพิ่มจากสองสามคันเป็นหลายสิบคันอย่างรวดเร็ว แต่…
ด้วยความที่ธุรกิจเติบโตเร็วและสนใจแต่ฝั่งขายหน้างานจนละเลยหลังบ้าน ทำให้ระบบหลังบ้าน การเงิน และการคนของบริษัทเขาเละเทะจนถูกพนักงานโกงในที่สุด การเติบโตอย่างรวดเร็วสู่การปิดตัวอย่างรวดเร็ว เขาสูญเสียเงินและกิจการในพริบตาทำให้จิตตกอย่างหนักถึงขั้นไม่เป็นอันทำอะไรอยู่พักหนึ่งก่อนจะตั้งสติได้และคิดหาอะไรทำใหม่อีกครั้ง
ในช่วงเวลาที่เขาขังตัวอยู่ในห้อง เขามองเห็นเพื่อนบ้านที่ตอนเด็กไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรแต่วันนี้โตมาใส่สูทผูกไทมีรถราคาแพงขับจึงสืบถามว่าทำงานอะไร คำตอบจากเพื่อนบ้านคือ “นายหน้าค้าหุ้น” แสงสว่างส่องมากลางใจอีกครั้งและตั้งปณิธานว่า “ฉันจะรวยด้วยค้าหุ้น

มุ่งหน้าสู่ Wall Street

Jordan Belfort สมัครและสัมภาษณ์งานตามบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ต่างๆ แม้จะไม่จบด้านการเงินเหมือนผู้สมัครคนอื่นๆ แต่ทักษะการขายทำให้เขาสามารถขายฝันแก่ผู้สัมภาษณ์จนยอมรับเขาทำงาน บริษัทนั้นชื่อว่า L.F. Rothschild
หลังเข้าทำงานจะต้องมีการฝึกอบรมและสอบ License เป็นนายหน้าค้าหุ้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน และในวันที่สำเร็จหลักสูตร เขาพร้อมเริ่มการเป็นนายหน้าค้าหุ้นอย่างถูกต้องเมื่อวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 1987 ตรงกับปรากฏการณ์ตลาดหุ้นพังทลายทั่วโลก หรือ Black Monday
L.F. Rothschild ปิดกิจการ Jordan ตกงาน…

มุ่งค้าหุ้น Penny Stock

แม้ตลาดหุ้นและบริษัทหลักทรัพย์ใหญ่ๆ จะล้มระนาว แต่ตลาดหุ้นและบริษัทหลักทรัพย์เล็กๆที่อยู่ตามชนบทยังคงอยู่ได้ พวกเขาอยู่กันแบบเงียบๆ และเรียบง่าย ไม่ค่อยมีการซื้อขายกันแต่ไหนแต่ไร เป็นหุ้นของธุรกิจครอบครัวตามต่างจังหวัดเป็นต้น
จุดเด่นของตลาดหุ้นเหล่านี้คือ หุ้นมีราคาถูกมาก มีราคาเป็นเศษของเงินเหรียญ และมีค่านายหน้าให้นักค้าหลักทรัพย์สูงถึง 60% ในขณะที่ค่านายหน้าของบริษัทหลักทรัพย์ในตลาดใหญ่ต่ำกว่า 1% — เมื่อ Jordan Belfort รู้ตัวเลขดังกล่าว เขาจึงตัดสินใจไปสมัครงานที่บริษัทหลักทรัพย์ในต่างจังหวัดทันที
การมาของ Jordan Belfort สร้างความคึกคักให้บริษัท เพราะที่ผ่านมาพวกเขาอยู่กันอย่างเงียบๆและแทบไม่มีการซื้อขายมานาน กระทั่ง Jordan Belfort นำทักษะแบบ Wall Street มาปิดการขายหุ้น Penny Stock ได้มากมายนำรายได้เข้าบริษัทจำนวนมากและสอนคนให้เป็นนักขายสไตล์ Wall Street
และอีกครั้ง หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำเงินจากค่านายหน้าได้เป็นกอบเป็นกำ เขาก็ออกไปเปิดบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ของตัวเองและเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานความรวยไม่รู้เรื่องเจ้าของฉายา The Wolf of Wall Street

3 บทเรียนเบื้องต้นที่ได้รับจากกรณีศึกษาของ Jordan Belfort

1. การขายเริ่มต้นที่ใจ
จิตใจ กำลังใจ และความเชื่อมีความสำคัญมาก ต่อให้สินค้าดีแค่ไหนแต่ขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็จะไม่สามารถขายสินค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ การอบรมทีมขายให้เข้าใจตัวสินค้าและมีศรัทธาต่อบริษัทรวมไปถึงการปลุกพลังใจของนักขายเป็นกุญแจสำคัญต่อการเพิ่มยอดขายของธุรกิจ
“The only thing standing between you and your goal is bullshit story you keep telling yourself as to why you can’t achieve it”
2. ธุรกิจเกิดมาเพื่อแก้ปัญหาแก่ผู้อื่น
ไอเดียธุรกิจแทบทุกชนิดบนโลกเกิดมาเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้อื่น ต่อให้เป็นปัญหาเล็กๆ ก็ตามก็อาจทำเงินได้มากมายเช่นเดียวกับการขายปลีกไอศครีมให้คนอาบแดนใน Long Island สมัยเด็กๆ ของเขานั่นเอง 
“Entrepreneurs create better ways to fill needs”
3. ความสำเร็จเกิดจากลงมือทำอย่างหนัก
จากกรณีศึกษาต่างๆ จะไม่ค่อยเห็น Jordan Belfort พูดถึงความสบาย การเกษียณ สโลว์ไลฟ์ และ Passive income มากนัก ในทางกลับกันเขาหลงใหลในสิ่งที่ทำและทำงานอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เขาต้องการ โดยกล่าวว่า ปณิธานที่น่าศรัทธาที่สุดในโลกก็เป็นได้แค่ปณิธานหากปราศจากการลงมือทำ
“Without action, the best intentions in the world are nothing more than that, intentions”

Jordan Belfort มาไทย

หลังจากผมเป็นนายตัวเองเต็มตัวในปีนี้และเรียนรู้ว่าทักษะการขายสำคัญต่อความอยู่รอดของนักธุรกิจอย่างมากทำให้เริ่มเสาะหาความรู้เกี่ยวกับขายและพบข่าวดีว่า Jordan Belfort จะมาจัดอบรมในวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม นี้ที่อิมแพ็ค!
งานนี้ไม่พลาดและขอบอกเผื่อคนที่สนใจไปดูรายละเอียด ที่นี่ครับ 
12080070_10207529811381151_5029781881823780088_o

แหล่งที่มา : http://www.ceoblog.co/jordan-belfort-wolf-of-wall-street/

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

9 คลิปการบรรยายระดับโลก..ที่ทุกคนควรดู!!

        Angela Lee Duckworth : กุญแจแห่งความสำเร็จคือ 'ความเพียร'
       
 
       
สำหรับการบรรยายของ แอนเจล่า ลี ดั๊กเวิร์ธ ถือเป็นการคลิปบรรยายที่มีคนดูมากสุดถึง 6,072,143 คน เรื่องราวของเธอเรียกได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เพราะเธอยอมทิ้งงานตำแหน่งสูงในวงการที่ปรึกษา ไปเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ให้เด็กเกรดเจ็ดในโรงเรียนเทศบาลนิวยอร์ก เธอจึงรู้ว่าไอคิว ไม่ใช่สิ่งที่แบ่งแยกเด็กที่ประสบความสำเร็จ ออกจากเด็กที่เรียนอ่อน ในการบรรยายครั้งนี้ เธอได้อธิบายทฤษฎีของเธอที่ว่า "ความเพียร" คือตัวพยากรณ์ความสำเร็จ ที่แท้จริงมากกว่า
       
 
       
เธอยังเล่าอีกว่า สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในระบบการศึกษา คือความเข้าใจในตัวเด็กนักเรียนและระบบการเรียนรู้ ทั้งในแง่ของการสร้างแรงจูงใจ และในแง่ของจิตวิทยา และอีกหนึ่งคุณสมบัติหนึ่งโดดเด่นขึ้นมา ซึ่งจะช่วยพยากรณ์ความสำเร็จได้ชัดเจน มันไม่ใช่ความฉลาดในการเข้าสังคม ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่ดูดี ไม่ใช่การมสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมันก็ไม่ใช่ไอคิว แต่มันคือ 'ความเพียร'
       
       
 
       
 
       
 
       
“Dan Gilbert” กับคำถามที่ว่า ทำไมเราจึงมีความสุข
       
       
 
       
อีกหนึ่งการบรรยายดีๆ ของศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยาชื่อดัง แดน กิลเบิร์ต จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ผู้ที่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟังบรรยายได้อย่างท่วมท้น ในหัวข้อบรรยายที่มีชื่อว่า “The Surprising Science of Happiness” ซึ่งเขาเองได้อธิบายเกี่ยวกับความสุขที่เราสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง เพราะเขามีความเชื่อที่ว่าการพบเจอความสุขที่แท้จริงนั้น เราสามารถพบความสุขได้ในทุกสถานการณ์
       
 
       
นอกจากนี้เขายังได้หยิบเรื่องราวของ เซอร์ โทมัส บราวน์ มาพูดถึงในการบรรยาย ซึ่งโทมัสเคยเขียนบันทึกไว้ในปี 1642 ว่า ฉันเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ข้อความดังกล่าวให้รายละเอียดไว้ว่า ฉันสามารถเปลี่ยนความจนเป็นความรวย เปลี่ยนความแร้นแค้นเป็นความมั่งคั่ง จึงกลายเป็นข้อความที่สร้างข้อสงสัยให้กับผู้ฟัง ถึงความพิเศษเกี่ยวระบบความคิดของโทมัส ซึ่งแดน กิลเบิร์ตจึงอธิบายต่อว่า ความจริงแล้วมันก็คือกลไกเดียวกันกับที่ทุกคนมีอยู่นั่นเอง เพราะมนุษย์เราทุกคนมีสิ่งที่เรียกว่าภูมิคุ้มกันทางจิต และเราสังเคราะห์ความสุขเองได้ แต่เราชอบคิดว่าความสุขเป็นสิ่งที่ต้องไปแสวงหาจากที่อื่น
       
 
        
       
        
       
 
        
       
Margaret Heffernan : จงกล้าที่จะแย้ง
       
 
       
เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีความเห็นต่าง หรือไม่เห็นด้วยกับคนอื่นๆ กันบ้างล่ะ แต่โดยสัญชาตญาณแล้ว คนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และหากใครได้รับชมคลิปการบรรยายนี้ความคิดของคุณจะเปลี่ยนไป จงกล้าที่จะแย้ง อีกหนึ่งประโยคสั้นๆ แต่มีพลังของ มาร์กาเร็ต เฮฟเฟอร์นัน เธอเชื่อว่าการขัดแย้งหรือเห็นต่างไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร ทว่าเป็น ความคิดขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ 
       
 
       
นอกจากนี้เธอยังให้ความเห็นว่า คู่คิดที่ดีที่สุดไม่ใช่คนที่คอยทำตัวเหมือนเรา หรือมีความคิดเหมือนเรา รวมถึงในเรื่องของการทำงาน บริษัทและองค์กรต่างๆ ล้วนเปิดรับความคิดเห็นต่าง หรือเรียกง่ายๆ คือ ไม่กีดกันผู้ที่มีความคิดต่างนั่นเอง แล้วถ้าจะสร้างความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์แบบนั้นต้องทำอย่างไร คลิปการบรรยายนี้ก็ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน
       
 
       
ผู้บรรยายยังเล่าอีกว่า ทางมหาวิทยาลัยเดลฟ์ (University of Delft) ซึ่งได้กำหนดให้นักศึกษาปริญญาเอก ต้องส่งข้อความ 5 ข้อความ ที่พวกเขาพร้อมที่จะถกเถียงกันด้วยเหตุผล มันไม่สำคัญว่าข้อความเหล่านั้นจะเกี่ยวกับอะไร สิ่งสำคัญก็คือว่า นักศึกษาเหล่านั้นเต็มใจและสามารถที่จะลุกขึ้นชี้แจงกับผู้มีอำนาจเหนือที่กว่าได้หรือไม่ ทิ้งท้ายเธอยังบอกอีกว่า ฉันคิดว่าเราต้องมีการสอนทักษะนี้ให้แก่เด็กและผู้ใหญ่ ถ้าหากเราต้องการที่จะมีองค์กรแห่งการคิดและสังคมแห่งการคิด
        
       
       
 
        
       
Andy Puddicombe: 10 นาทีกับเรื่องที่เราสนใจ
       
       
แน่นอนว่าในชีวิตวัยเรียนนั้น คงต้องเจอกับความเครียดและความกังวลใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในเรื่องของการเรียน การคบเพื่อน สังคมมหาวิทยาลัย และอื่นๆ ดังนั้น คลิปการบรรยายนี้จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการกำจัดความเครียด ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงใช้เวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้น จากประสบการณ์เล่าเรื่องของ แอนดี้ ผู้ที่เป็นทั้งนักแต่งหนังสือและนักพูดในที่สาธารณะชื่อดัง 
       
สำหรับวัยเรียนที่ต้องเจอกับเรื่องน่าเบื่อและมีเรื่องให้สมองต้องขบคิดอยู่ตลอดเวลา แอนดี้ได้บรรยายถึงเทคนิคดีๆ ที่ช่วยกำจัดความเครียดได้เพียงง่ายๆ แค่ 10 นาที หลายคนคงคิดว่าต้องไปเข้าคอร์สโยคะเพื่อฝึกสมาธิแน่นอน แต่ไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป เพียงแค่เราใช้เวลา 10 นาที ปล่อยเวลาตรงนั้นไปกับเรื่องที่เราสนใจ หรือรู้สึกผ่อนคลายกับมันก็ได้ผลแล้ว เช่นเดียวกับแอนดี้ที่ใช้เวลา 10 นาทีที่มีอยู่กับการเล่นกล 
       
       
       
 
        
       
Larry Smith : ทำไมถึงไม่มีวันได้ทำงานดีๆ 
       
 
       
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งการบรรยายที่เรียกเสียงฮือฮาและปลุกเร้าแรงบันดาลใจให้คนดูมากที่สุดเลยก็ว่าได้ สำหรับ แลรี่ สมิธ นักเศรษฐศาสตร์ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการโน้มน้าวใจคน ซึ่งเนื้อหาของการบรรยายนี้เน้นไปยังคำถามที่ว่า ทำไมเราถึงไม่มีงานดีๆ ทำ นั้นหล่ะจึงเป็นคำถามที่น่าสนใจและสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้คนดู
       
 
       
ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงตั้งคำถามถึงความล้มเหลว แลรี่ สมิธ ให้เหตุผลข้อแรกคือ ไม่ว่าคนอื่นจะบอกคุณสักกี่รอบว่า ถ้าอยากจะทำงานที่ยิ่งใหญ่ คุณต้องไล่ตามฝันของตัวเอง ไขว่คว้าทำสิ่งที่คุณปรารถนา ทำสิ่งที่คุณหลงใหลที่สุดในชีวิต คุณได้ยินคำพูดนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่คุณก็ไม่เคยเริ่มลงมือทำ ไม่ว่าคุณจะโหลดดูสุนทรพจน์ พิธีจบการศึกษาที่สแตนฟอร์ดของ สตีฟ จ็อบส์ สักกี่รอบ คุณก็ยังแค่นั่งดู ไม่เคยลงมือทำ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าทำไมคุณตัดสินใจจะไม่ลงมือทำ 
       
 
       
การบรรยายนี้จึงเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวความคิดของ แลรี่ สมิธ พร้อมกับการยกตัวอย่างสนุกๆ ให้ผู้ฟังเห็นภาพตามไปด้วย อีกทั้งยังเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูทำให้ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายที่จะฟังการบรรยายใน 15 นาทีของเขาเลย
       
       
       
 
        
       
Susan Cain : พลังเงียบ..สร้างโลก
       
 
       
ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะมองว่านักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักวิชาการที่เก่งที่สุด คนเหล่านี้มักเป็นพวกชอบเก็บตัว มักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเอง หรืออยู่ในสถานที่ที่น่าเบื่อหน่าย มากกว่าที่จะแบ่งปันความคิด-ข้อมูลต่างๆ จึงไม่น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่มักให้คุณค่าและยกย่องเชิดชูคนที่กล้าแสดงออก ชอบเข้าสังคม และมีความกระตือรือร้นสูงมากกว่าคนเก็บตัว
       
 
       
ซูซาน เคน นักเขียนชาวอเมริกัน เผยความจริงให้เห็นว่าเพราะเหตุใดสังคมอเมริกันจึงให้คุณค่ากับคนที่มีบุคลิกแบบเก็บตัวน้อยกว่าบุคลิกลักษณะเปิดเผย หรือคนที่ชอบเข้าสังคม และเปิดมุมมองใหม่ให้เราได้รู้ว่าคนเงียบ-เข้าสังคมไม่เก่ง ก็ประสบความสำเร็จและสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่โลกได้ไม่แพ้กัน ดูได้จากบุคคลสำคัญที่มีบุคลิกชอบเก็บตัวอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
       
 
       
การบรรยายนี้จึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ "ความแข็งแกร่งหรือพลังของความเงียบ" ซึ่งให้มุมคิดที่น่าสนใจ และสะท้อนมุมมองต่างไปจากค่านิยมของสังคมในยุคปัจจุบัน ที่คนส่วนใหญ่มักให้ความชื่นชมหรือนิยมคนประเภทชอบเข้าสังคมมากกว่าพวกเก็บตัวนั่นเอง
       
       
       
        
       
       
Matt Cutts : ลองทำอะไรแปลกใหม่เป็นเวลา30 วัน
       
 
       
เชื่อเถอะว่ามีอะไรมากกว่าคลิปการบรรยายสั้นๆ แค่ 3 นาทีกว่าๆ ของ “Matt Cutts” นักวิศวกรคอมพิวเตอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ “Google” ในหัวข้อ“Try Something New for 30 Days” การบรรยายนี้จะช่วยปลุกแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกกระตือรือร้น ด้วยคำพูดง่ายๆ ของเขา มีอะไรบ้างที่คุณคิดไว้ว่าจะทำ อยากจะทำ แต่ว่ายังไม่ได้ทำ 
       
 
       
แมท คัทส์ กล่าวบรรยายสั้นๆ ด้วยเนื้อหากินใจ กระตุ้นให้คนหันมาลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ อย่างการทำสิ่งแปลกใหม่ใน 30 วัน และเขาเชื่อว่าหากเราปล่อยเวลา 30 วันผ่านพ้นไปโดยที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรใหม่ๆ มันอาจกลายเป็นแค่วันธรรมดาๆ 30 วันที่ไม่มีเรื่องอะไรให้น่าจดจำ แล้วทำไมคุณไม่ลองนึกถึงบางอย่างที่คุณอยากลองทำมาตลอด รับรองได้ว่าอีก 30 วันต่อจากนี้จะต้องเปลี่ยนไป การบรรยายของเขาจึงเป็นการเสนอวิธีการคิด และการตั้งเป้าหมายเพื่อให้บรรลุความสำเร็จนั่นเอง
       
        
       
       
David Kelley : จงเชื่อมั่นใจความคิดสร้างสรรค์
       
 
       
ต่อกันที่คลิปการบรรยายที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการมีความคิดสร้างสรรค์ และหากใครลองสังเกตดู จะรู้ว่า ในโรงเรียนหรือที่ทำงานของเรา จะมีการแบ่งกลุ่มคนออกเป็นพวกมีความคิดสร้างสรรค์ กับพวกที่ไม่มี เดวิด เคลลี่ นักออกแบบไอคอนยุคดิจิตอลชื่อดัง นำเสนอว่า ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับกลุ่มคนเพียงส่วนน้อย เขาได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านประสบการณ์ชีวิตและการทำงานของเขา และแนะหนทางที่จะสร้างความเชื่อมั่นเพื่อสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ 
       
 
       
นอกจากนี้เขายังยกตัวอย่าง วิทยาลัยการออกแบบสแตนฟอร์ด ที่มีผู้คนจากหลากหลายที่มาเรียนด้วยกัน พวกเขาเคยมองตัวเองว่าเป็นพวกที่ใช้แต่หลักเหตุและผล และเมื่อพวกเขาเข้ามา พวกเขาได้สร้างความมั่นใจ มองตัวเองต่างไปจากเดิม กับความจริงที่ว่า พวกเขาสามารถเรียกตัวเองและมองตัวเองได้ว่า เป็นพวกมี ความคิดสร้างสรรค์
       
 
       
เดวิด เคลลี่ ยังกล่าวทิ้งท้ายคลิปการบรรยายอีกว่า ความจริงแล้วคนทุกคนมีความสร้างสรรค์โดยธรรมชาติอยู่แล้ว และพวกเขา น่าจะปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองออกมา และการรับรู้ความสามารถของตนเองก็จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นในพลังสร้างสรรค์ของตัวเองได้อีกด้วย
       
       
        
       
       
Adora Svitak : สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรเรียนรู้จากเด็ก
       
 
       
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคลิปการบรรยายต่อไปนี้ คือการบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าหนูอัจฉริยะ อโดรา สวิทัก หนูน้อยที่มีคำพูดเฉียบคม วัย 12 ปี เห็นตัวเล็กแบบนี้เรียกได้ว่า จิ๋วแต่แจ๋ว เพราะความคิด-การอ่านของเธอนั้น ราวกับผู้ใหญ่มาบรรยายอย่างไงอย่างนั้น การบรรยายของเธอช่วยให้ผู้ใหญ่หลายคนตระหนกคิดได้ว่า โลกนี้ต้องการความคิดแบบเด็กๆ การมีไอเดียที่ไม่กลัวใคร และความคิดสร้างสรรค์แบบสุดโต่ง โดยเฉพาะการมองโลกในแง่ดี 
       
 
       
เธอยังบรรยายอีกว่าความฝันอันยิ่งใหญ่ของเด็กๆ นั้น ควรค่าแก่ความคาดหวัง ซึ่งเริ่มได้จากการที่ผู้ใหญ่หันหน้ามา เรียนรู้ ไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้เธอยังยกตัวอย่างฮีโร่อายุน้อยที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ไว้ เช่น แอนน์ แฟรงค์ ที่ครองใจหลายล้านคน ด้วยเรื่องราวทรงพลังจากบันทึกของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รูบี้ บริดจ์เจส ช่วยลบการเหยียดผิวหรือศาสนาในอเมริกา และล่าสุด หนูน้อย ชาร์ลี ซิมสัน ได้ช่วยเรี่ยไรเงินบริจาค 120,000 ปอนด์ หรือกว่า 7 ล้านบาท ไปช่วยเฮติ ด้วยจักรยานน้อยๆ ของเขาเอง 
       
 
       
ดังนั้นเธอยังทิ้งแง่คิดดีๆ ไว้อีกว่า หากคุณมองจากตัวอย่างดังกล่าว อายุ ไม่ได้มีส่วนเลยแม้แต่น้อย คุณลักษณะของการ 'ทำตัวเหมือนเด็ก' ที่สื่อออกมานั้น หลายครั้งผู้ใหญ่ก็เป็นเหมือนกัน และเราก็ควรยกเลิกการใช้คำเชิงกีดกันอายุคำนี้ โดยเฉพาะในการวิจารณ์พฤติกรรม ที่เกี่ยวข้องกับ 'การไร้ความรับผิดชอบ' และ 'การคิดแบบไร้เหตุผล' เรียกได้ว่าการบรรยายของเธอนั้น ทำให้ผู้ใหญ่ที่นั่งฟังถึงกับลุกขึ้นปรบมือกันเลยทีเดียว เล็กพริกขี้หนูจริงๆ นะเรา
        
        
        
        
        
       
       
อ้างอิงข้อมูลจาก
      - http://www.ted.com/talks/adora_svitak
       - https://www.ted.com/talks/angela_lee_duckworth_the_key_to_success_grit?language=th
       
- http://www.collegerank.net/10-ted-talks-every-potential-college-student-should-watch/

แหล่งที่มา : http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9580000034869